AI ย่อมาจากคำว่า Artificial Intelligence แปลเป็นไทยก็ “ความฉลาดที่มีการสร้างขึ้นมา” หรือตามที่เคยได้ยินก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ และมุมมองในการให้ความหมายก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน ถ้าสมมติคุณไปถามคนเหล่านั้น ถ้าเป็นคนที่อยู่ในแวดวงเกี่ยวกับพวกเทคโนโลยีก็อาจจะเอาไปเปรียบเทียบว่ากับพวกหุ่นยนต์โรบอท บางคนก็เอาไปเปรียบเทียบเป็นตัวละครในหนังอย่างเช่น เรื่อง Terminator ที่ตัวหุ่นยนต์มีความคิดและการกระทำเป็นของตัวเอง แต่ถ้าคุณถามเรื่อง AI กับพวกนักวิจัยที่เค้าทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ก็จะได้คำตอบประมาณว่า จริง ๆ แล้วมันคือ ชุดของ Algorithm ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้เองโดยที่ไม่ต้องแนะนำวิธีการให้
สรุปเป็นภาษาทางการง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ให้มีความสามารถในการคิดได้เองโดยที่ไม่ต้องสอน คิดและแสดงออกแบบมีเหตุผลได้เหมือนมนุษย์
ทีนี้ก็จะต้องมีคำถามว่า แล้วจะวัดผลได้อย่างไรว่า AI ทำได้เหมือนมนุษย์แล้ว?
ปัจจุบันมีวิธีวัดผลอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ
- Turing Test – วิธีนี้จะใช้การวัดผลโดยการดูว่า AI รับมือกับบทสนทนากับมนุษย์อย่างไร ซึ่งจุดประสงค์คือ ต้องทำให้คนที่คุยด้วย ไม่สามารถเดาได้ว่ากำลังคุยกับ AI อยู่ การที่จะทำแบบนี้ได้ AI ต้องมีความสามารถดังนี้
- ใช้ Natural Language Processing (NLP) ในการสื่อสารได้
- มีความรู้รอบตัวในการตอบโต้เพื่อใช้ในการช่วยจำ
- สามารถใช้เหตุผลในการให้ข้อมูล, ตอบคำถาม หรือให้ข้อสรุปได้
- ใช้ Machine Learning ในการตรวจจับรูปแบบการทำงานเพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ
- The Cognitive Modelling Approach – วิธีนี้จะเป็นการเลียนแบบวิธีคิดแบบมนุษย์ ซึ่งจะต้องใช้ตัวช่วย 3 อย่างคือ
- Introspection: ใช้การสังเกตว่าคิดอย่างไร แล้วสร้าง Mode เพื่อให้เรียนรู้
- Psychological Experiments: ทดลองกับร่างกายมนุษย์ และสังเกตพฤติกรรมเพื่อการเรียนรู้
- Brain Imaging: ใช้ MRI ในการ Scan เพื่อดูว่าสมองมีการทำงานอย่างไรในสถานการณ์ที่แตกต่างกันและเลียนแบบทำซ้ำตามข้อมูลที่มี
- The Law of Thought Approach – วิธีนี้จะเป็นวิธีการที่เตรียมการเยอะที่สุดเพราะต้องใช้หลักการเข้ามาเกี่ยวข้อง และนำไปป้อนให้ Algorithm จัดการต่อ ปัญหาก็คือ การจะแก้ไขปัญหาโดยใช้หลักการกับการแก้ไขในสถานการณ์จริงค่อนข้างจะต่างกันอยู่ ทำให้ต้องลงรายละเอียดในการให้ข้อมูลกับ AI ได้เรียนรู้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ได้กลับมา 100% ถ้ามีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะเกินไป
- The Rational Agent Approach – วิธีนี้จะใช้การตรวจสอบโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในสถานการณ์จริง จากข้อ 3 เราต้องป้อนหลักการเข้าไปให้ AI ตอบสนอง แต่ถ้าเราไม่ได้บอกว่าอันไหนผิดหรือถูก ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาได้หลากหลายรูปแบบ การตรวจสอบโดยใช้เหตุผลจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ไม่ได้เอาหลักการมาเป็นตัวอ้างอิง ขอให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีก็พอ
AI ทำงานได้อย่างไร?
การสร้างระบบ AI ขึ้นมาจะใช้การเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อนำความสามารถไปใส่ในเครื่องจักรเพื่อให้สามารถทำให้ AI คิดและประมวลผลได้ การที่ถามว่า AI ทำงานได้อย่างไร สิ่งที่ต้องมีก็คือ ชุดข้อมูล (Input) ที่นำไปให้ AI ประมวลผลแล้วตอบกลับมา (Response)Input มีอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น คำพูด ข้อความ หรือการกระทำต่าง ๆResponse ก็อยู่ที่ว่าเราต้องการให้ตอบออกมาเป็นแบบใด คำพูด ข้อความ หรือการกระทำต่าง ๆ แล้วเราก็เอา Response นั้นไปใช้ประโยชน์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของเราครับ
ชนิดของ AI แบ่งเป็นแบบใดบ้าง?
ในปัจจุบันมีการแบ่ง AI ออกเป็น 3 ชนิด คือ
- Artificial Narrow Intelligence (ANI) – เป็นรูปแบบของ AI ที่เราเจอได้บ่อย ๆ ในตลาดในปัจจุบัน AI ชนิดนี้ออกแบบมาให้แก้ไขปัญหา ๆ เดียว ทำให้รับมือกับปัญหา ๆ เดียวได้ดีตามชื่อของมันก็คือ Narrow ความสามารถที่มีก็เช่น สามารถแนะนำสินค้าที่คนต้องการได้ เวลาเราเข้า E-commerce Website เพื่อไปซื้อของ หรือพยากรณ์อากาศ ทุกวันนี้เราก็เห็น AI ทำงานได้แบบนี้เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ทำได้ก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยการใช้ตัวแปรไม่กี่ตัวในการทำงาน
- Artificial General Intelligence (AGI) – ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ Concept อยู่ เนื่องจากการที่จะทำให้ AI มีเหตุผลที่สามารถคิดเองได้จะต้องใช้ศาสตร์หลายแขนงเข้ามาช่วยเช่น การทำ Language processing, การทำ Image processing และอื่น ๆ เรายังต้องใช้เวลาอีกนานในการสร้าง AI แบบ AGI ระบบนี้จะต้องใช้การทำงานร่วมกันของ ANI แบบหลาย ๆ ตัว เพื่อเข้ามาช่วยในการให้เหตุผลที่ต้องสอดคล้องกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Compute Infrastructure ที่จะต้องมารองรับการทำงานจำพวกนี้ มีคนเคยทดลองมาแล้ว เช่น K ของ Fujitsu หรือ Watson ของ IBM พบว่าใช้เวลา 40 นาทีในการประมวลผลกิจกรรมของประสาทแค่ 1 วินาที แค่นี้ก็เดากันง่าย ๆ แล้วว่าการทำงานของสมองมนุษย์มีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อน ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าเราจะพัฒนากันไปได้มากแค่ไหนนะครับ
- Artificial Super Intelligence (ASI) – ชนิดสุดท้ายที่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎี ASI ก็คือการที่เราเอา AGI มาทำงานร่วมกัน ทำให้ก้าวข้ามความสามารถของมนุษย์ไปแล้ว อันนี้พูดถึงการคิดในการที่จะตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล โดยที่รวมเอาความรู้สึกนึกคิดเข้าไปแล้วนะครับ ตัวนี้เราจะลงรายละเอียดกันมากไม่ได้ค่อยได้เพราะยังไม่มีใครที่ทดลองได้นะครับ
จุดประสงค์ของการใช้งาน AI คืออะไร?
จุดประสงค์ของ AI คือการช่วยให้มนุษย์สามารถที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลที่ AI ย่อยออกมาให้เข้าใจได้ง่าย ในมุมมองเชิงจิตวิทยา AI ก็จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์ทำงานลดลงนั่นเองAI ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาเหมือน ๆ กับที่เราพัฒนาอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาตั้งแต่อดีต การที่เราพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาก็เพื่อจะพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความไม่เท่าเทียม อันนี้เราพูดถึงหลักการรวม ๆ นะ แต่ปัจจุบัน AI ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในบริษัทเพื่อพัฒนาคุณภาพของระบบงาน, การบริหารจัดการงาน, การทำนายผลลัพธ์ทางธุรกิจโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีมากกว่าเดาหรือการคิดไปเอง (ใช้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจนั่นแหละ) ซึ่งการที่นำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ได้ก็ต้องมีการพัฒนา มีการวิจับ มีราคาที่ต้องจ่ายครับ
เอา AI ไปใช้ทำอะไรบ้าง?
มีการเอา AI ไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ได้จากชุดข้อมูลที่มี เช่น
- Google Search ที่คาดเดาว่าคุณจะค้นหาอะไรจากการพิมพ์ข้อความ โดยจะมีชุดข้อความลอยขึ้นมาช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อความได้ตรงตามความต้องการของคุณมากที่สุด
- Netflix ที่ใช้ข้อมูลของ User ในอดีตในการแนะนำหนังที่ User อาจจะอยากดูเป็นเรื่องต่อไปเพื่อทำให้ User ใช้เวลากับ Application นานขึ้น ดูหนังนานขึ้น
- Facebook ใช้ข้อมูลในอดีตของ User ในการแนะนำให้ Tag เพื่อนของคุณในรูป โดยอาศัยเรื่องของ Facial Recognition ในหลาย ๆ รูปเทียบกัน
ผมขอยกตัวอย่าง Application ที่คนส่วนใหญ่ใช้งาน ซึ่ง Application เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการช่วยดำเนินการ คือ
- Google Maps
- Application เรียกรถ Taxi เช่น Grab, Uber
- AI Autopilot บนเครื่องบิน
- Spam filters ที่ใช้กันใน Email Platform
- Facial Recognition เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าต่าง ๆ
- Search recommendations ที่แนะนำว่าเราเหมาะกับสินค้าอะไร
- Voice-to-text ที่เปลี่ยนเสียงพูดให้เป็นข้อความ
- Smart personal assistants เช่น Siri หรือ Alexa