วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

“เทรนด์แฟชั่น” ที่กำลังมาแรงในปี 2025

 ความยั่งยืนยังคงเป็นประเด็นหลักในวงการแฟชั่น และฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักออกแบบเริ่มนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวปฏิบัติที่มีจริยธรรมมาผสมผสานในคอลเลกชั่นของพวกเขามากขึ้น คาดว่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของการใช้ฝ้ายออร์แกนิก ผ้ารีไซเคิล และสีย้อมจากพืช ตัวอย่างเช่น ผ้า Tencel ผ้าที่ผลิตจากใยไม้ธรรมชาติ นอกจากนี้แบรนด์ต่างๆ ยังสำรวจวิธีการใหม่ๆ ในการลดขยะ เช่น การใช้วัสดุเหลือใช้และการออกแบบที่ไม่ก่อให้เกิดขยะ เทรนด์แฟชั่นนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นแค่ที่วัสดุเท่านั้น แต่ยังเน้นการสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างผู้บริโภคกับตู้เสื้อผ้าของพวกเขา โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

ความยั่งยืนยังคงเป็นประเด็นหลักในวงการแฟชั่น และฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักออกแบบเริ่มนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวปฏิบัติที่มีจริยธรรมมาผสมผสานในคอลเลกชั่นของพวกเขามากขึ้น

สิ่งทอที่ผสานเทคโนโลยี (Tech-Infused Textiles)

การผสานเทคโนโลยีที่เข้ากับแฟชั่นยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาลนี้ สิ่งทออัจฉริยะและเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้กำลังเข้าสู่กระแสแฟชั่นหลัก ลองนึกถึงเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของคุณ หรือผ้าที่ปรับอุณหภูมิตามร่างกายของคุณ การพิมพ์ 3 มิติก็กำลังเปลี่ยนแปลงวงการ โดยเปิดโอกาสให้สร้างเสื้อผ้าที่ปรับแต่งได้ตามขนาดร่างกายอย่างลงตัว ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่เป็นเพียงแต่เพิ่มฟังก์ชันในการใช้งานเท่านั้น แต่ยังเปิดโลกใหม่แห่งความคิดและความสร้างสรรค์ให้กับนักออกแบบอีกด้วย

การผสานเทคโนโลยีที่เข้ากับแฟชั่นยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฤดูกาลนี้ สิ่งทออัจฉริยะและเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้กำลังเข้าสู่กระแสแฟชั่นหลัก ลองนึกถึงเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของคุณ

กล้าหาญและสดใส (Retro Revival)

หลังจากหลายฤดูกาลที่เน้นโทนสีหม่นและความงามที่ดูเรียบง่าย ซึ่งทำให้สีสันกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสที่โดดเด่น ตั้งแต่สีน้ำเงินไฟฟ้าถึงสีแดงเพลิง รันเวย์ถูกเติมเต็มด้วยไปด้วยสีสันที่เจิดจ้า เฉดสีเนออนจะเป็นที่นิยมอย่างมาก เพิ่มความล้ำสมัยให้กับจานสีฤดูร้อนแบบดั้งเดิม เทรนด์แฟชั่นนี้จะส่งเสริมการแสดงออกและความมั่นใจ เชิญชวนให้ทุกคนก้าวออกจากเขตสบายและยอมรับพลังของสีสันที่สดใส

หลังจากหลายฤดูกาลที่เน้นโทนสีหม่นและความงามที่ดูเรียบง่าย ซึ่งทำให้สีสันกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง ฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสที่โดดเด่น ตั้งแต่สีน้ำเงินไฟฟ้าถึงสีแดงเพลิง รันเวย์ถูกเติมเต็มด้วยไปด้วยสีสันที่เจิดจ้า

การฟื้นคืนชีพของสไตล์ย้อนยุค (Bold and Bright)

แฟชั่นมักจะมองย้อนกลับไปหาแรงบันดาลใจจากในอดีต และฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 ก็ไม่ต่างกัน ฤดูกาลนี้เราสัมผัสได้ถึงความคิดถึงการย้อนยุค 70s, 80s, และ 90s ลองนึกถึงกางเกงขาบาน ลวดลายที่โดดเด่น และสีสันสดใส การกลับมาของยุคดิสโก้นำมาพร้อมกับผ้าที่แวววาวและเครื่องประดับขนาดใหญ่ อิทธิพลจากยุค 90s ปรากฏให้เห็นในกระแสการฟื้นฟูสไตล์มินิมอล เช่น เดรสสลิป เสื้อครอป และกางเกงยีนส์ทรงหลวม การผสมผสานของสไตล์ย้อนยุคเหล่านี้สามารภสร้างสุนทรียะที่ทั้งสนุกสนานและมีเอกลักษณ์ในตัว ซึ่งให้ความรู้สึกคุ้นเคยและสดใหม่ในเวลาเดียวกัน

แฟชั่นมักจะมองย้อนกลับไปหาแรงบันดาลใจจากในอดีต และฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อนปี 2025 ก็ไม่ต่างกัน ฤดูกาลนี้เราสัมผัสได้ถึงความคิดถึงการย้อนยุค 70s, 80s, และ 90s ลองนึกถึงกางเกงขาบาน ลวดลายที่โดดเด่น และสีสันสดใส

แฟชั่นที่ไม่จำกัดเพศ (Fluid Fashion)

ความยืดหยุ่นทางเพศในแฟชั่นกำลังกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่มุ่งเน้นความครอบคลุมและการยอมรับ นักออกแบบกำลังสร้างสรรค์คอลเลกชันที่ลบเลือนเส้นแบ่งระหว่างเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิง คาดว่าจะเห็นเสื้อผ้ายูนิสเซ็กส์มากขึ้น ด้วยซิลลูเอตที่ดูเป็นกลางทางเพศและชิ้นส่วนที่หลากหลายที่สามารถจัดสไตล์ได้หลายแบบ เช่น ผ้าลูกไม้ จะเป็นผ้าที่นิยมสำหรับแฟชั่นนี้ด้วยเช่นกัน และเทรนด์แฟรชุ่นนี้ส่งเสริมแนวคิดที่ว่าแฟชั่นเป็นของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศใด และเฉลิมฉลองความเป็นตัวของตัวเอง

ความยืดหยุ่นทางเพศในแฟชั่นกำลังกลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่มุ่งเน้นความครอบคลุมและการยอมรับ นักออกแบบกำลังสร้างสรรค์คอลเลกชันที่ลบเลือนเส้นแบ่งระหว่างเสื้อผ้าผู้ชายและผู้หญิง

ในปี 2025 ที่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ เทรนด์แฟชั่นจะมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืน เทคโนโลยี และความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับคุณภาพของเสื้อผ้าและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ แฟชั่นยังจะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม และ ผ้าลูกไม้ก็ยังเป็นผ้าที่นิยมในปี 2025 เช่นกัน ซึ่งทางแบรนด์ "United Lace" เป็นผู้จำหน่ายผ้าลูกไม้ราคาส่ง และขายส่งผ้าลูกไม้ออนไลน์สำหรับผู้ที่ต้องการ ซื้อผ้าลูกไม้จำนวนมาก โดยมีผ้าลูกไม้ในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายชนิด ที่สามารถนำมาใช้ในการตัดเสื้อผ้าได้ในหลากหลายโอกาส โดยมีการขายผ้าลูกไม้ที่มีรูปแบบที่สมัย และลวดลายที่มีความเป็นเอกลักษณ์ สวยงาม ที่จะทำให้คุณสามารถเลือกใช้ผ้าลูกไม้ได้ตามความต้องการและความเหมาะสมในทุกโอกาสต่าง ๆ และเราพร้อมให้คำปรึกษาในการเลือกใช้ผ้าลูกไม้ทุกประเภทให้กับคุณ

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)


 AI ย่อมาจากคำว่า Artificial Intelligence แปลเป็นไทยก็ “ความฉลาดที่มีการสร้างขึ้นมา” หรือตามที่เคยได้ยินก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ และมุมมองในการให้ความหมายก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความเข้าใจของแต่ละคน ถ้าสมมติคุณไปถามคนเหล่านั้น ถ้าเป็นคนที่อยู่ในแวดวงเกี่ยวกับพวกเทคโนโลยีก็อาจจะเอาไปเปรียบเทียบว่ากับพวกหุ่นยนต์โรบอท บางคนก็เอาไปเปรียบเทียบเป็นตัวละครในหนังอย่างเช่น เรื่อง Terminator ที่ตัวหุ่นยนต์มีความคิดและการกระทำเป็นของตัวเอง แต่ถ้าคุณถามเรื่อง AI กับพวกนักวิจัยที่เค้าทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ก็จะได้คำตอบประมาณว่า จริง ๆ แล้วมันคือ ชุดของ Algorithm ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้เองโดยที่ไม่ต้องแนะนำวิธีการให้

สรุปเป็นภาษาทางการง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ให้มีความสามารถในการคิดได้เองโดยที่ไม่ต้องสอน คิดและแสดงออกแบบมีเหตุผลได้เหมือนมนุษย์

ทีนี้ก็จะต้องมีคำถามว่า แล้วจะวัดผลได้อย่างไรว่า AI ทำได้เหมือนมนุษย์แล้ว?
ปัจจุบันมีวิธีวัดผลอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ

  1. Turing Test – วิธีนี้จะใช้การวัดผลโดยการดูว่า AI รับมือกับบทสนทนากับมนุษย์อย่างไร ซึ่งจุดประสงค์คือ ต้องทำให้คนที่คุยด้วย ไม่สามารถเดาได้ว่ากำลังคุยกับ AI อยู่ การที่จะทำแบบนี้ได้ AI ต้องมีความสามารถดังนี้
  • ใช้ Natural Language Processing (NLP) ในการสื่อสารได้
  • มีความรู้รอบตัวในการตอบโต้เพื่อใช้ในการช่วยจำ
  • สามารถใช้เหตุผลในการให้ข้อมูล, ตอบคำถาม หรือให้ข้อสรุปได้
  • ใช้ Machine Learning ในการตรวจจับรูปแบบการทำงานเพื่อนำไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ
  1. The Cognitive Modelling Approach – วิธีนี้จะเป็นการเลียนแบบวิธีคิดแบบมนุษย์ ซึ่งจะต้องใช้ตัวช่วย 3 อย่างคือ
  • Introspection: ใช้การสังเกตว่าคิดอย่างไร แล้วสร้าง Mode เพื่อให้เรียนรู้
  • Psychological Experiments: ทดลองกับร่างกายมนุษย์ และสังเกตพฤติกรรมเพื่อการเรียนรู้
  • Brain Imaging: ใช้ MRI ในการ Scan เพื่อดูว่าสมองมีการทำงานอย่างไรในสถานการณ์ที่แตกต่างกันและเลียนแบบทำซ้ำตามข้อมูลที่มี
  1. The Law of Thought Approach – วิธีนี้จะเป็นวิธีการที่เตรียมการเยอะที่สุดเพราะต้องใช้หลักการเข้ามาเกี่ยวข้อง และนำไปป้อนให้ Algorithm จัดการต่อ ปัญหาก็คือ การจะแก้ไขปัญหาโดยใช้หลักการกับการแก้ไขในสถานการณ์จริงค่อนข้างจะต่างกันอยู่ ทำให้ต้องลงรายละเอียดในการให้ข้อมูลกับ AI ได้เรียนรู้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ได้กลับมา 100% ถ้ามีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะเกินไป
  1. The Rational Agent Approach – วิธีนี้จะใช้การตรวจสอบโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในสถานการณ์จริง จากข้อ 3 เราต้องป้อนหลักการเข้าไปให้ AI ตอบสนอง แต่ถ้าเราไม่ได้บอกว่าอันไหนผิดหรือถูก ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะออกมาได้หลากหลายรูปแบบ การตรวจสอบโดยใช้เหตุผลจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ไม่ได้เอาหลักการมาเป็นตัวอ้างอิง ขอให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีก็พอ

AI ทำงานได้อย่างไร?

การสร้างระบบ AI ขึ้นมาจะใช้การเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์เพื่อนำความสามารถไปใส่ในเครื่องจักรเพื่อให้สามารถทำให้ AI คิดและประมวลผลได้ การที่ถามว่า AI ทำงานได้อย่างไร สิ่งที่ต้องมีก็คือ ชุดข้อมูล (Input) ที่นำไปให้  AI ประมวลผลแล้วตอบกลับมา (Response)Input มีอยู่หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น คำพูด ข้อความ หรือการกระทำต่าง ๆResponse ก็อยู่ที่ว่าเราต้องการให้ตอบออกมาเป็นแบบใด คำพูด ข้อความ หรือการกระทำต่าง ๆ แล้วเราก็เอา Response นั้นไปใช้ประโยชน์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของเราครับ

ชนิดของ AI แบ่งเป็นแบบใดบ้าง?

ในปัจจุบันมีการแบ่ง AI ออกเป็น 3 ชนิด คือ

  1. Artificial Narrow Intelligence (ANI) – เป็นรูปแบบของ AI ที่เราเจอได้บ่อย ๆ ในตลาดในปัจจุบัน AI ชนิดนี้ออกแบบมาให้แก้ไขปัญหา ๆ เดียว ทำให้รับมือกับปัญหา ๆ เดียวได้ดีตามชื่อของมันก็คือ Narrow ความสามารถที่มีก็เช่น สามารถแนะนำสินค้าที่คนต้องการได้ เวลาเราเข้า E-commerce Website เพื่อไปซื้อของ หรือพยากรณ์อากาศ ทุกวันนี้เราก็เห็น AI ทำงานได้แบบนี้เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ทำได้ก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยการใช้ตัวแปรไม่กี่ตัวในการทำงาน
  2. Artificial General Intelligence (AGI) – ตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ Concept อยู่ เนื่องจากการที่จะทำให้ AI มีเหตุผลที่สามารถคิดเองได้จะต้องใช้ศาสตร์หลายแขนงเข้ามาช่วยเช่น การทำ Language processing, การทำ Image processing และอื่น ๆ เรายังต้องใช้เวลาอีกนานในการสร้าง AI แบบ AGI ระบบนี้จะต้องใช้การทำงานร่วมกันของ ANI แบบหลาย ๆ ตัว เพื่อเข้ามาช่วยในการให้เหตุผลที่ต้องสอดคล้องกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Compute Infrastructure ที่จะต้องมารองรับการทำงานจำพวกนี้ มีคนเคยทดลองมาแล้ว เช่น K ของ Fujitsu หรือ Watson ของ IBM พบว่าใช้เวลา 40 นาทีในการประมวลผลกิจกรรมของประสาทแค่ 1 วินาที แค่นี้ก็เดากันง่าย ๆ แล้วว่าการทำงานของสมองมนุษย์มีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อน ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าเราจะพัฒนากันไปได้มากแค่ไหนนะครับ
  3. Artificial Super Intelligence (ASI) – ชนิดสุดท้ายที่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎี ASI ก็คือการที่เราเอา AGI มาทำงานร่วมกัน ทำให้ก้าวข้ามความสามารถของมนุษย์ไปแล้ว อันนี้พูดถึงการคิดในการที่จะตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล โดยที่รวมเอาความรู้สึกนึกคิดเข้าไปแล้วนะครับ ตัวนี้เราจะลงรายละเอียดกันมากไม่ได้ค่อยได้เพราะยังไม่มีใครที่ทดลองได้นะครับ

จุดประสงค์ของการใช้งาน AI คืออะไร?

จุดประสงค์ของ AI คือการช่วยให้มนุษย์สามารถที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น อ้างอิงจากข้อมูลที่ AI ย่อยออกมาให้เข้าใจได้ง่าย ในมุมมองเชิงจิตวิทยา AI ก็จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์ทำงานลดลงนั่นเองAI ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มนุษย์พัฒนาขึ้นมาเหมือน ๆ กับที่เราพัฒนาอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาตั้งแต่อดีต การที่เราพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาก็เพื่อจะพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความไม่เท่าเทียม อันนี้เราพูดถึงหลักการรวม ๆ นะ แต่ปัจจุบัน AI ส่วนใหญ่จะถูกใช้ในบริษัทเพื่อพัฒนาคุณภาพของระบบงาน, การบริหารจัดการงาน, การทำนายผลลัพธ์ทางธุรกิจโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่มีมากกว่าเดาหรือการคิดไปเอง (ใช้ข้อมูลมาช่วยตัดสินใจนั่นแหละ) ซึ่งการที่นำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ได้ก็ต้องมีการพัฒนา มีการวิจับ มีราคาที่ต้องจ่ายครับ

เอา AI ไปใช้ทำอะไรบ้าง?

มีการเอา AI ไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ได้จากชุดข้อมูลที่มี เช่น

  • Google Search ที่คาดเดาว่าคุณจะค้นหาอะไรจากการพิมพ์ข้อความ โดยจะมีชุดข้อความลอยขึ้นมาช่วยให้คุณสามารถค้นหาข้อความได้ตรงตามความต้องการของคุณมากที่สุด
  • Netflix ที่ใช้ข้อมูลของ User ในอดีตในการแนะนำหนังที่ User อาจจะอยากดูเป็นเรื่องต่อไปเพื่อทำให้ User ใช้เวลากับ Application นานขึ้น ดูหนังนานขึ้น
  • Facebook ใช้ข้อมูลในอดีตของ User ในการแนะนำให้ Tag เพื่อนของคุณในรูป โดยอาศัยเรื่องของ Facial Recognition ในหลาย ๆ รูปเทียบกัน

ผมขอยกตัวอย่าง Application ที่คนส่วนใหญ่ใช้งาน ซึ่ง Application เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี AI ในการช่วยดำเนินการ คือ

  • Google Maps
  • Application เรียกรถ Taxi เช่น Grab, Uber
  • AI Autopilot บนเครื่องบิน
  • Spam filters ที่ใช้กันใน Email Platform
  • Facial Recognition เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าต่าง ๆ
  • Search recommendations ที่แนะนำว่าเราเหมาะกับสินค้าอะไร
  • Voice-to-text ที่เปลี่ยนเสียงพูดให้เป็นข้อความ
  • Smart personal assistants เช่น Siri หรือ Alexa